หลายคนอาจจะดูแลผิวหน้าเป็นพิเศษ จนละเลยปัญหาเรื่องเส้นผม

ซึ่งเรก้มีปัญหาผมเช่นกัน ด้วยอายุที่มากขึ้น เข้าเลข 3 แล้ว

ทั้งกัดสีทำสี  และต้องเจอความร้อนจากไดร์ทุกวัน

จนผมแห้งเสียมาก ไม่นุ่มลื่นเหมือนเมื่อก่อน

ไหนจะหลุดร่วงอีก หน้าผากกว้างๆ ก็เริ่มเถิกขึ้นเรื่อยๆ

ใช้ครีมนวดหลังสระแล้ว ก็ยังช่วยได้ไม่พอ

วันนี้เลยจะมารีวิวตัวช่วยเรื่องผม ที่น่าจะเจอกันมาตั้งนาน เสียดาย!

FURLONG อาหารเสริมบำรุงเส้นผมและหนังศีรษะ

ที่รวมสารสกัดจากธรรมชาติและวิตามินที่จำเป็น

ซึ่งจะเน้นการบำรุง แตกต่างจากยารักษาผมร่วงอื่นๆ

ที่จะมีตัวยา กดฮอร์โมน และมีผลข้างเคียงต่อสุขภาพ

อาจเกิดการสะสม ยิ่งถ้าหยุดยาพวกนั้น ผมก็กลับมาร่วงหนักกว่าเดิมอีก

สารอาหารใน FURLONG ที่ช่วยบำรุงเส้นผม

-Beta Glucan เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความเสื่อมของเซลล์ต่างๆ ช่วยเรื่องผมร่วงได้

-Horsetail Extract สารสกัดจากหญ้าหางม้า เพิ่มการไหลเวียนของเลือดกระตุ้นรูขุมขน 

ลดน้ำมันบนหนังศรีษะ ปรับสภาพเส้นผมให้นุ่มเงางาม

-L-cysteine ช่วยกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย กระตุ้นภูมิคุ้มกัน เป็นส่วนประกอบของเคราติน

-Citrus BioFlavonoids ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยดูดซึมวิตามินซี ให้ไปเลี้ยงเส้นผมได้ดี

-Vitamin A ซ่อมแซมเส้นผม และทำให้ผมแข็งแรง ช่วยเรื่องผิวพรรณได้อีกด้วย

-Zinc สำคัญต่อการเจริญเติบโตของเส้นผม และควบคุมต่อมไขมันบนศีรษะ ช่วยลดการหลุดร่วงได้

นี้แค่ตัวหลักๆ ยังมาสารสกัดอีกหลายตัวที่ช่วยบำรุงเส้นผม

ให้ทานครั้งละ 1 เม็ด หลังอาหารเช้า-เย็น

เรทานควบคู่ไปกับการใช้ FURLONG Advance Serum 

ใช้สารสกัดจากสมุนไพรและวิตามินที่จำเป็น

ช่วยเร่งการเจริญเติบโตของเส้นผม ช่วยกระตุ้น Keratin

ทาบนหนังศีรษะเช้า-เย็น 

ผลลัพธ์หลังการใช้เพียง 10 วัน

ผลที่ชัดเจนเลยคือ ผมนุ่มขึ้น และร่วงน้อยลง

เวลาสระผม เห็นผมร่วงน้อยลง แล้วก็รู้สึกดี

ยิ่งเวลาผมเปียกน้ำ จะไม่แห้งเป็นก้อนๆแล้ว

สางผมได้ปกติ เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ดีใจมาก

ส่วนเรื่องหน้าผากเถิกๆ นี่อาจต้องใช้เวลาต่อเนื่องกันไปอีกซักพักถึงจะเห็นผม

แค่รู้สึกว่าผมแข็งแรงมากขึ้น ก็สบายใจขึ้นเยอะเลย

ทุกคนสามารถใช้ FURLONG ได้

ใครที่ผมร่วงเยอะ ผมบาง ผมเสีย ผมทำสี 

หรือใครที่คิดว่ายังไม่มีปัญหาผม ก็สามารถทานได้เช่นกัน

เป็นการบำรุง เหมือนที่เรากินอาหารเสริมบำรุงผิว ร่างกายเลย 

เพราะไม่มีผลข้างเคียงใดๆ เหมือนยารักษาผมร่วง

www.furlonghair.com

FB: furlonghair

สบู่ก้อนทำความสะอาดหน้า เรได้ลองมาหลายแบรนด์

แต่ก็ยังไม่เจอที่ชอบ เลยไม่เคยรีวิวสักที

ซึ่งการล้างหน้า เรจะไม่ให้ความสำคัญกับสารบำรุงที่ใส่มา

จะเน้นไปที่การทำความสะอาดได้ดีมากกว่า

แต่ครั้งนี้ต้องยอมรีวิวให้สบู่ก้อนตัวนี้เลย

ภายนอกอาจจะดูเหมือนสบู่ทั่วๆไป

แต่พอได้ลองใช้ดูแล้ว นอกจากทำความสะอาดได้ดีแล้ว

สารบำรุงที่ใส่มาก็เหมาะสม แล้วช่วยบำรุงผิวได้อีกด้วย

Ma Blue Whit Soap : New Radiant

ส่วนผสมจะเน้นที่ไขมันพืชและกลีเซอลีน

ซึ่งเรใช้แล้ว ก็มีความฝืดเอี๊ยดของผิว ตามสไตล์สบู่จากไขมันพืช

แต่ไม่แห้งหรือตึง เหมือนสบู่ก้อนหรือโฟมล้างหน้าทั่วไป

งงมั้ย!? คือล้างน้ำออกแล้วผิวมีความฝืด แต่สะอาดและไม่แห้งตึง

ผิวนุ่มและรู้สึกชุ่มชื่นด้วยซ้ำ

ก้อนสบู่มีความแข็งดีมาก นี่ใช้มาอาทิตย์นึงแล้ว ถูตัวด้วย

ยังไม่หดหายไปเหมือนแบรนด์อื่นๆ ถือว่าคุ้ม

ฟองไม่เยอะมาก แต่ฟองมีความนุ่ม

ใครที่ชอบฟองเยอะๆ แนะนำให้ไปตีกับตาข่าย

ได้ฟองนุ่มๆเยอะแน่นอน แต่เรว่ามันเปลืองกว่า

สารสกัดที่ช่วยบำรุงใส่มาอีกมากมาย

และที่ทางแบรนด์ใส่มาเป็นจุดขาย

สารสกัดจากเมลอนฝรั่งเศส 
ช่วยให้ผิวขาว กระจ่างใส ลดความหมองคล้ำและจุดด่างดำ
ทำให้ผิวแข็งแรงทนต่อรังสียูวี และมลภาวะ

สารสกัดจากผลบิลเบอร์รี่
มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ผิวอ่อนเยาว์ เนียน รูขุมขนกระชับ
ช่วยให้การอักเสบและสิว หายไวขึ้น ยับยั้งแบคทีเรีย

และยังมี Alpha Arbutin, Lime Pearl, Niacinamide, Aloe Vera มาอีกด้วย

เรว่ามันก็โอเคช่วยเพิ่มมูลค่าของสินค้าได้

แต่ที่เรรู้สึกได้คือ สิวอุดตันลดลง และรอยสิวจางไวขึ้นด้วย

นี่คือสิ่งที่เรต้องการเลย 

มีใส่น้ำหอมมาสุดท้าย กลิ่นก็หอมสดชื่นอ่อนๆดี

ไม่ฉุนจัดจนปวดหัว

ใครอยากจะลองใช้สบู่ก้อนล้างหน้า

Ma Blue White Soap เป็นแบรนด์ที่เรแนะนำ

ราคา 250 บาท แต่ใช้ได้นานกว่าสบู่ก้อนยี่ห้ออื่นแน่นอน

https://web.facebook.com/nrdwhite.page/

การออกกำลังกาย เพื่อสุขภาพที่ดี ใครๆ ก็อยากจะมี

ซึ่งปัจจุบันก็มีตัวช่วยมากมายให้เราสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

นอกจากออกกำลังกายแล้ว การนอนหลับที่ดี ก็สำคัญไม่แพ้กัน

NEXT2 NX1 สายรัดข้อมือเพื่อสุขภาพ

เป็นตัวช่วยหนึ่งที่มาพร้อมฟีเจอร์อย่างครบถ้วน

สายรัดสุขภาพ มีหลากหลายแบรนด์ให้เลือก

แต่ NX1 สามารถทำได้ครบทุกด้าน

บอกเวลา นับก้าว นับแคลอรี่ วัดการเต้นของหัวใจ วัดการนอนหลับ

เชื่อมต่อ Bluetooth แจ้งเตือนสายเข้า ไลน์ ควบคุมการถ่ายรูปได้อีก

พร้อม กันน้ำระดับ ip67

ทุกอย่างที่ว่ามานี้ มาในราคาเพียง 1,290 บาท

ยังมีสายให้เลือกอีกหลายสี เพิ่มแค่ 159 บาท

ตัวเครื่องมีความบางเบาและสวยงาม

ตัวสายเป็นยางคุณภาพ ใส่แล้วไม่รู้สึกคัน

มีตัวล็อค ไม่หลุดง่าย

ด้านหลังจะมีเซนเชอร์ตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจแบบ real time

การถอดเปลี่ยนสายก็ทำได้ง่ายมากๆ

อีกสิ่งหนึ่งที่ชอบมากคือการชาร์จไฟ 

ชาร์จ 3 ชั่วโมง ใช้ได้นาน 5 วัน

แถมยังไม่ต้องต่อสายให้ยุ่งยาก

แค่ถอดตัวหน้าปัด แล้วเสียวกับปลั๊กที่เป็นช่อง USB ได้เลย

การเชื่อมต่อกับมือถือก็ทำได้ง่ายมาก ทำตามคู่มือได้เลย

โหลดแอพลิชั่นมา เปิด Bluetooth 

แอพลิเคชั่นก็ใช้ง่าย เก็บข้อมูลได้ครบถ้วน

การทำงานคือวัดจากท่าทางการเคลื่อนไหว

เพราะฉะนั้นอาจจะไม่ได้ถูกต้อง 100% แต่ก็แม่นยำพอสมควร

ข้อเสียอย่างนึง เรื่องการวัดการนอนหลับ

แอพควรจะบอกให้ละเอียดกว่านี้ 

ว่าช่วงไหนเป็น Deep Light หรือ Awake

แอพยังเชื่อมต่อ เป็นตัววัดการออกกำลังกายได้อีกหลายแบบ

 http://www.next2gadget.com/product/nx1/

ปกติแล้วเรจะทาแป้งฝุ่น เพราะให้ความรู้สึกที่บางเบา แต่คุมมันได้ดีระดับนึง

แต่เมื่อได้ลอง JURNESS Aromatherapy Foundation Powder-SPF 25 

แป้งผสมรองพื้น ที่กันน้ำ กันเหงื่อ แต่ไม่รู้สึกหนาหรือหนักหน้าเลย

ตัวตลับแป้งแบบทั่วไป มีฟองน้ำอยู่ด้านล่าง มาในกล่องที่สื่อว่ากันน้ำได้

แต่เรว่ารูปไม่ค่อยสวยอ่า (คหสต)

เรยังได้ลองใช้แปรงของ JURNESS ด้วย

ซึ่งขอบอกตรงนี้เลย ว่านุ่ม ไม่บาดหน้า ใช้ดีกว่าหลายๆแบรนด์อีก

ราคาก็ดีงาม แต่ขนาดเล็กไปนิด ต้องปาดหลายรอบหน่อย

ตัวแป้งมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของลาเวนเดอร์ เอสเซนเชียลออยล์

และส่วนผสมสกัดจากธรรมชาติอีกหลายชนิด

แต่ไม่ใช่ครีมบำรุง จึงไม่คาดหวังส่วนนี้ เน้นงานผิวสวย

มารีวิวด้วยภาพกันเลยดีกว่า

เรใช้แปรงทาทั่วหน้า เพื่อให้ได้ลุคที่บางเบาขึ้น ไม่แน่นเกิน

เรทาน้ำตบบำรุงเพียงอย่างเดียว ไม่ได้ลงกันแดด หรือรองพื้นใดๆเลย

วันที่ใช้ JURNESS เรเพิ่งกดสิวมาเพียง 2 วัน 

ตัวแป้งปกปิดได้ปานกลาง แต่ดูเนียนขึ้นชัดเจน

สะดวก ง่าย ผู้ชายก็ใช้ได้ 

หากใครอยากปกปิด ก็ลงรองพื้นก่อน

หรือฉีดน้ำใส่พัฟนิดหน่อย แล้วลงแป้งปกติ

จะทำให้แป้งติดแน่น เนียนขึ้นไปอีก

ทดสอบการกันน้ำ เปิดก๊อกแล้ววักน้ำใส่หน้าไปเลยจ้า

ยังอยู่ทน ไม่หลุดเป็นคราบ 

คราวนี้มาทดสอบ ในวันปกติ ที่ต้องไปทำงาน

เรทาโดยใช้แปรงแบบเดิม แต่ทั้งวันจะไม่ซับหน้าเลย 

12 ชั่วโมงเต็มๆ 

ทั่งนั่งวิน รอบีทีเอสเหงื่อแตก 

ออฟฟิศห้องแอร์ ออกไปกินข้าวเที่ยงแดดเปี้ยงๆ

จนเย็นกลับบ้าน ร้อนอบอ้าว ฝนไม่ตกเลย

(แสงจริง เลยคุมไม่ได้ ให้ดูลักษณะผิวหน้าเนอะ)

ผิวไม่ดูแมท แบบแห้งๆ แต่ก็ไม่ได้ดูมันย่อง

ยิ่งนานยิ่งดูผ่อง กลืนไปกับผิวดีมาก ไม่หมอง ไม่ดรอปซักนิด

ใช้ดีจริง คุ้มค่ากับเงินที่ต้องจ่ายมากๆ

แป้งมีถึง 5 เบอร์ด้วยกัน จะผิวขาวมาก หรือผิวคล้ำสองสี ก็ใช้ได้

เรใช้เบอร์ 3 ผิวขาวโทนชมพูหน่อยๆ

แป้งตลับ ขนาด 12 g ราคา 450 บาท

แปรง ราคา 235 บาท 

แต่มีจัดโปรโมชั่นบ่อยๆ

เข้าไปดูในเว็บได้เลย https://www.jurness.com/

ทดลองใช้จนครบ14วันแม้จะไม่ชอบเดย์ครีมที่มันวิ้งวับเลยแต่ก็ต้องทนเพื่อจะพิสูจน์ผลลัพธ์ให้แจ้งใจ 

ใช้แถบวัดเหมือนเดิมและผลที่ได้....

(รูปอาจจะเห็นไม่ชัดนักแต่เรเห็นชัดเลย)

วิตามินซี ใครๆก็รู้ว่ามีประโยชน์มากมาย ทั้งการต้านอนุมูลอิสระ 

กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดการอักเสบ 

ช่วยลดจุดด่างดำและปรับสีผิวที่หมองคล้ำจากแสงแดดให้ขาวขึ้นได้ 

แต่จะหาเซรั่มวิตามินซีเข้มข้น ที่หวังผลได้นั้น ก็มีราคาสูงลิบเสียเหลือเกิน

เพราะอะไร?

Vitamin C ในรูปแบบของ L-Ascorbic Acid 

ไม่ค่อยเสถียรและเสื่อมได้ง่าย 

เมื่อโดน แสง อากาศ ความร้อน และ น้ำ 

ทำให้ต้องหาวิธีช่วยต่างๆ ไม่ให้วิตามินซีเสื่อมภาพเร็ว 

ทั้งส่วนผสมที่ใส่มาช่วยให้คงคุณค่าของวิตามินซีไว้ 

หรือการออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้โดนแสง อากาศน้อยที่สุด

แต่ไม่ว่ายังไง 

ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมหลักเป็นวิตามินซี

ก็มีโอกาสที่จะเสื่อมสลายได้อยู่ดี

โดยวิธีสังเกตุง่ายๆคือ ผลิตภัณฑ์จะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง 

หมายถึงการเสื่อมสลายของวิตามินซี 

ทำให้คุณสมบัติในการเป็นสารอนุมูลอิสระไม่มีประสิทธิภาพ

บางรายอาจจะโกงโดยการผสมสีเนื้อครีมเป็นสีเหลือง

ควรเลี่ยงไปเลยไม่ต้องใช้ เพราะเจตนาไม่ดีตั้งแต่ต้น

วิตามินซี เป็นดั่งสาวงามที่รู้ตัวว่ามีดี เลยเล่นตัวซะเยอะ

นางมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ค่า PH ต่ำ ทำให้ผิวที่บอบบางหรือผิวแห้งนั้น อาจจะแสบได้

แต่ถ้าปรับค่า PH ให้เป็นกลาง ประสิทธิภาพและการดูดซึมก็จะน้อยลงไปอีก

นางเป็นวิตามินที่ละลายน้ำได้ดี แต่เมื่อโดนน้ำก็จะเสื่อมสภาพเร็วไปอีก

นางเยอะ นางย้อนแย้ง ยำไย แต่ของมันดีอะ

ยิ่งยาก ยิ่งอยากได้ มันท้าทายดี!

แต่ที่เรจะมารีวิววันนี้ ไม่ใช่เซรั่ม หรือครีมบำรุง แต่เป็น 

วิตามินซี 100% แบบผง 

ที่เราสามารถมาผสมกับโทนเนอร์หรือน้ำตบที่เราใช้อยู่

เพื่อให้ได้คุณค่าของวิตามินซีได้อย่างเต็มเปี่ยม

Adjuvant C Bright: Pure Vitamin C Powder

ข้อมูลจากเวปไซท์:

"Pure Vitamin C powder แท้สกัดบริสุทธิ์จากวัตถุดิบที่ได้มาจากธรรมชาติไม่ผ่านการตัดแต่งพันธุกรรม (GMO free) เป็นวิตามินซีแท้ๆสกัด 100% ตามมาตรฐานทางเภสัชกรรม (BP,USP,FCCIX) ผ่านการตรวจสอบคุณภาพมาตรฐานโดยห้องปฏิบัติการทั้งในและต่างประเทศ"

วิตามินซีแบบผง ดียังไง?

เราสามารถผสมใช้แบบครั้งต่อครั้งได้ทันที 

ทำให้การ oxidation ยังไม่เกิดจนถึงขั้นเสื่อมสภาพ

ประสิทธิภาพของวิตามินซียังอยู่ครบถ้วน ประโยชน์ที่ได้รับก็จะเต็มที่

ตัวผลิตภัณฑ์มาในขวดสีชาและมีสติ๊กเกอร์ปิดอีกชั้นหนึ่ง พร้อมซีลพลาสติก

เปิดฝาแล้ว ด้านในจะมีรูเล็กๆไว้เทผงวิตามินซี ซึ่งช่วยให้อากาศเข้าไปได้น้อยลงด้วย

วิธีใช้ก็ไม่ยุ่งยากเลย แค่เพิ่มขั้นตอนมานิดหน่อย

เทผงวิตามินซีประมาณเมล็ดถั่วเขียว ผสมน้ำสะอาด หรือน้ำตบ เซรั่มที่ใช้อยู่เดิม

นิ้วถูวนๆให้ผงละลาย แค่แป๊บเดียว แล้วก็ทาทั่วหน้า ตบๆ ตามปกติเลย

ผลการใช้

เรใช้ C Bright ผสมกับน้ำตบที่ใช้อยู่เดิมแล้ว โดยไม่ได้เพิ่มอะไรมาอีก 

ไม่ได้ทายาแต้มสิว ไม่ได้มาส์กหน้า ในช่วงทดลอง 7 วัน

(พยายามควบคุมองศาและแสงให้เท่ากันแล้ว)

เรใช้แล้วไม่มีอาการแสบใดๆ ทั้งสิ้น (หน้าคงหนา!)

สิวที่โหนกแก้มที่เห็นแดงๆขึ้นมาพอดี 

แค่ 3 วัน ก็แห้งและสะกิดออกได้เลย

หลังจากใช้ 7 วัน รอยสิวดูจางลง

รูขุมขนดีขึ้นนิดนึง 

เรื่องความกระจ่างใส เห็นได้ชัดเจนที่สุด

คือส่องกระจกแล้วรู้สึกได้เลย ว่าใสขึ้นมาก

ถือว่าได้ผลดีเลยทีเดียวกับการใช้เพียง 7 วัน

มาดูกันที่ความคุ้มค่าบ้าง 

เห็นขวดนิดเดียว แต่เทียบการใช้ต่อครั้งแล้ว คุ้ม!

ขวด 5 กรัม 490 บาท

ใช้ครั้งละเท่าเมล็ดถั่วเขียว ประมาณ 20 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง

เท่ากับว่าใช้ได้ 250 ครั้ง หรือ 125 วัน หรือ 4 เดือนกันเลยทีเดียว

แต่ยังไงก็ควรสังเกตด้วยว่า ผงวิตามินซีเริ่มเปลี่ยนสีรึยัง เพราะอาจจะเสื่อมสภาพก่อนได้

ปริมาณที่ใช้สามารถปรับเปลี่ยนได้แล้วแต่คนเลย โดยสัดส่วนวิตามินซี คือ 5% - 20%

ใครที่ผิวบอบบางก็ผสมน้อยๆก่อนนะ เพราะบางรายอาจจะเกิดอาการแสบได้

ถ้าแสบเล็กน้อยตอนที่ทา ไม่ใช้อาการแพ้ แต่เป็นปกติเพราะว่าวิตามินซีเป็นกรดอ่อน

ให้ใช้ปริมาณน้อยๆ จนกว่าจะไม่แสบ แล้วค่อยเพิ่มสัดส่วนขึ้น แต่ก็ไม่ควรเกิน 20%

หรือจะผสมน้ำ ทาตัว ข้อศอก ง่ามขา ก็แล้วแต่จะใช้เลยจ้า

บางรายอาจจะมีอาการแพ้วิตามินซี 

ซึ่งแล้วแต่บุคคลนะครับ ไม่สามารถตอบได้ว่าจะแพ้รึเปล่า

(มีความว่างเลยวาดรูปเล่น ^^)

กระแสแพลงก์ตอน ยังมาแรงไม่เลิก 

ต้นตำหรับตัวดังก็ต้องยกให้ Life Plankton ของ Biotherm

ซึ่งเรเคยรีวิวเปรียบเทียบน้ำตบแพลงก์ตอนไป 3 ตัวแล้ว

มาคราวนี้ วัตสัน ส่งแพลงก์ตอนมาแย่งชิงตลาดบ้าง

ส่งมาทั้งไลน์ครบ 3 ตัวเลย

มีทั้ง Essence, Serum, Sleeping mask

ส่วนผสมตัวหลัก ก็ต้องเป็น Alive Plankton

โดยแหล่งของเจ้าแพลงก์ตอนนี้มาจาก Brittany, France

"คำถาม" นางต่างจาก Life Plakton Biotherm ยังไง?

Biothem ใช้สายพันธ์ Vitreoscilla filiformis

Watsons ใช้สายพันธ์ Alteromonas Ferment

ซึ่งจะเป็นคนละตัวกัน โดยตัว Alteromonas ก็มีหลายแบรนด์นำมาใช้

อย่าง Aquasource ของ Biotherm ก็มีส่วนผสมนี้เช่นกัน

ซึ่ง Alteromonas เป็นแบคทีเรียลบ ที่พบใต้ทะเลลึกเช่นเดียวกับ Life Palnkton

เรเดาว่านั่นจึงเป็นที่มาของชื่อ Alive Plankton แต่ไม่รู้ว่าใส่มากี่%

คุณสมบัติก็คล้ายกันคือ ช่วยให้ผิวแข็งแรง ชุ่มชื้น ต้านการระคายเคือง

ส่วนอะไรจะดีกว่านั่น ก็คงแล้วแต่ว่าใครจะถูกกับตัวไหนมากกว่า

ส่วนผสมอื่นๆ ก็ใส่มาได้อย่างครบถ้วน

ทั้งเรื่อง Antioxidant, Hyaluronate, Extract ต่างๆ

ไม่มี Alcohol, Paraben, Mineral Oil, Silicone ที่ระคายเคืองผิวได้ง่าย

แต่ว่า Parfum อยู่อันดับต้นๆเลยทีเดียว (เสียดาย เกือบจะดีแล้วเชียว)

เรได้ทดลองใช้ Essence มา 15 วัน

โดยแลกซื้อขวดเล็กมา หารราคาปริมาณแล้วถือว่าคุ้มกว่าราคาเต็มมาก 

(หมดโปรแลกซื้อไปแล้วนะ ไม่รู้จะมีกลับมาอีกรึเปล่า)

ตัวน้ำ texture feeling มีความใกล้เคียงกับ Life Plankton มากๆ

แต่จะซึมเข้าผิวได้ดีกว่า แต่ก็ยังเคลือบและมีความหนึบอยู่เล็กน้อย

ครั้งแรกที่เหยาะน้ำตบลงบนฝ่ามือ สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือ กลิ่น

กลิ่นน้ำหอมนางแรงมาก แรงมากๆๆๆๆๆๆ

กลิ่นแบบน้ำหอมฉีดตัวเลย ไม่ใช่กลิ่นอ่อนๆผ่อนคลายแต่อย่างไร

อันนี้คือข้อเสียอย่างแรงสำหรับเร

ใช้มา 15 วัน ถือว่าให้ผลลัพธ์ที่ค่อนข้างดีเลยทีเดียว

ชุ่มชื่น ผิวแน่นฟู ไม่มีสิวอุดตันหรือแพ้

ส่วนตัวคิดว่าทำได้ดีไม่ต่างจาก Life Plankton Biotherm เลยทีเดียว

หากไม่ใส่น้ำหอม หรือใส่มาน้อยๆ จะเรียกได้ว่าสมบูรณ์เลย

เอาจริงๆ เรื่องกลิ่น ไม่ต้องซีเรียสมากก็ได้นะ 

อย่างกลิ่นบูดน้ำตบป้าเจี๊ยบ คนยังทนกันได้เลย!

แม้เรจะไม่ชอบกลิ่นน้ำหอม แต่

ด้วยราคาที่ถูกกว่า Life Plankton Biotherm กว่าครึ่งนึง

คาดว่า Alive Plankton Dermaction จะสามารถ

แทนพื้นที่น้ำตบตัวอื่นได้อย่างแน่นอน 

รอโปรวัตสัน ราคาคงจะยิ่งน่าคบหาขึ้นไปอีก ^^

บีบีครีม ที่มีส่วนผสมของครีมบำรุง ปรับสีผิว ให้ดูกระจ่างใส

และยังมีส่วนผสมกันแดด SPF 50 PA+++

กับแบรนด์ "HOPE"

ชื่อของผลิตภัณฑ์ เน้นไปที่ BB

เพราะฉะนั้นงานผิวสวยต้องมา

PHENYL TRIMETHICONE ช่วยให้ผิวเงาสวย

SILICA ดูดซับความมัน

ส่วนผสมที่ช่วยเรื่องกันแดดนั้นใช้เป็น

TITANIUM DIOXIDE, ZINC OXIDE

ซึ่งเป็นสารกันแดดที่นิยมกัน เพราะว่ามีความเสถียรมาก

ส่วนผสมบำรุงผิวที่ใส่มานั้น ถือว่าจัดเต็มเลยทีเดียว

ทั้ง NIACINAMIDE, ALOE VERA, CENTELLA, LICORICE 

และยังมี HYALURONATE, ADENOSINE เก็บกักน้ำ ลดเลือนริ้วรอย

ส่วนเรื่องผลลัพธ์ ความพึงพอใจนั้น

เรเน้นไปที่งานผิวสวยเป็นหลัก ตามด้วยเรื่องปกป้องผิวจากแดด

ส่วนเรื่องบำรุงนั้นไม่เน้นเท่าไหร่ 

มาดูกันที่งานผิว

ตัวเนื้อผลิตภัณฑ์ เป็นสีขาว เกลี่ยค่อนข้างง่าย แต่ก็ไม่ได้ลื่นปรื้ดนัก

กลืนกับผิวได้ดี ไม่ลอย (แต่ไม่แน่ใจว่าคนผิวคล้ำมาก จะลอยมั้ย)

รู้สึกได้ถึงความกระจ่างใสในทันทีเลย รูขุมขนเรียบเนียนขึ้นชัดเจน

ผิวดูมีความเงานิดๆ แต่ไม่มันไม่หนึบ ลูบที่ผิวหน้ารู้สึกลื่น silky ด้วยซ้ำไป

ไม่ต้องทาแป้งทับก็ออกจากบ้านได้เลยนะ ใสๆ

ส่วนเรื่องการปกปิด ถือว่าทำได้ดี แต่ถ้าใครที่มีรอยสิวชัดคงต้องใช้อย่างอื่นเสริมด้วย

ทดสอบกันแดด

โดยการทาลงบนแผ่น Smartsun โดยทาแล้วทิ้งไว้กลางแดด 3 ชั่วโมง (13.00 -16.00)

ประสิทธิภาพกันแดด ผ่านฉลุยเลย

เรทาแป้งฝุ่นศรีจันทร์ทับเหมือนทุกวัน 

เรื่องคุมความมันนั้น สอบผ่านสบายเลย

ผิวมันง่ายอย่างเร ตอนกลางวันผิวมันแค่ช่วงทีโซนเท่านั้น

ทิชชู่ซับๆ ก็ออกไปพักกินข้าวได้แล้ว

ตกเย็นเลิกงานแล้ว บริเวณแก้ม ผิวยังเนียนลื่นเหมือนเดิมเลย

แค่ซับช่วงทีโซนอีกเช่นเคย ถือว่าดีกว่าหลายๆแบรนด์ที่เคลมว่าคุมมันดีเสียอีก

สรุปเลยว่า 

เป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยประหยัดเวลา สะดวก รวดเร็ว 

ใครที่ต้องการลุคใสๆ ยิ่งเหมาะมาก คุมมันได้ดีเยี่ยม

ผสมกันแดดที่มีประสิทธิภาพมาด้วย

ใช้ต่อเนื่อง 3 วัน ไม่มีอาการแพ้หรือสิวขึ้นแต่อย่างใด

ข้อเสีย

มีส่วนผสมของ Mineral oil, Perfum

ใครที่ผิวแพ้ อุดตันง่าย อาจจะไม่เหมาะ

ราคาค่อนข้างสูงไปหน่อยเมื่อเทียบกับปริมาณ (15กรัม / 790บาท)

..........................................................

FB: hopebeauty.th

วิธีชงกาแฟแบบดริป "Drip" เป็นอีกวิธีนึงที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆในบ้านเรา

เพราะการดริปนั้น สามารถดึงรสชาติของกาแฟออกมาได้อย่างเต็มที่

วิธีชงกาแฟแบบดริปนั้น ต้องใช้เวลา และความพิถีพิถัน ตั้งแต่การบดเมล็ดกาแฟ 

ปริมาณกาแฟ อุณหภูมิน้ำร้อน การรินน้ำร้อน จนถึงเวลาที่น้ำร้อนสัมผัสผงกาแฟ

ใครที่อยากดริปเองแบบเต็มสูตร ก็ต้องซื้ออุปกรณ์มาให้ครบ

ตั้งแต่เครื่องบดกาแฟ แก้วดริป เหยือกดริป แผ่นกรอง 

ใครสโลว์ไลฟ์และทุนทรัพย์เหลือ ก็จัดมาเพิ่มความสุขให้ชีวิตกันได้เลย

แต่........

มีวิธีที่ง่ายกว่านั้น เพราะที่เรจะมารีวิว เค้าตัดความยุ่งยากออกไปทั้งหมด

แต่ยังให้เราได้สัมผัสกลิ่นหอมและรสชาติกาแฟจากการดริปได้อย่างเต็มที่

กาแฟคั่วบด ที่บรรจุมาในแผ่นกรอง ปริมาณเหมาะสำหรับ 1 แก้ว 

แค่เติมน้ำร้อน รอให้น้ำกาแฟค่อยๆหยดลงมา เพียง 2 นาที 

ความสุขที่รับจากกลิ่นหอมๆ รสกาแฟที่ละเมียดดื่ม

และการได้ดริปกาแฟด้วยตัวเอง เป็นการเริ่มต้นวันที่ดีมาก

Home Drip Coffee

มีกาแฟจากหลายแห่ง ซึ่งสัมผัสและรสชาติก็จะแตกต่างกันไป

บดกาแฟ ได้หยาบกำลังดี ไม่ละเอียดเกินไป เหมาะแก่การดริป

ที่เหลือก็แค่ต้มน้ำ น้ำอุณหภูมิประมาณ 91-96 องศา จะเหมาะที่สุด

(ไม่มีที่วัดอุณภูมิทำไง? เรต้มน้ำเดือดแล้วก็พักไว้แปบนึง กะเอา ^^)

แค่ฉีกซองฟรอยด์ ก็ได้กลิ่นกาแฟหอมๆ แล้ว

ฉีกซองกรองออก ดึงหูเกี่ยวข้างๆมาเกี่ยวไว้กับขอบถ้วย

คือกลิ่นมันดีมากจริงๆ

ค่อยๆรินน้ำ ให้พอท่วมกาแฟ แล้วทิ้งไว้แป๊บนึง ให้กาแฟได้อมน้ำ

หลังจากนั้นก็รินน้ำอย่างช้าๆ จนได้ปริมาณที่ต้องการ

ความเข้มของกาแฟที่เราต้องการ ก็เพิ่มลดจากปริมาณน้ำที่เรารินใส่

เสร็จแล้วก็ดื่มกาแฟหอมๆ ที่เราดริปเองจากมือได้เลย

หรือใครจำเติมนม น้ำตาล ก็แล้วแต่ความชอบเลยครับ

Facts: สายพันธุ์ของกาแฟ

1. Arabica: จากแม่สรวย จ.เชียงราย นุ่มกลมกล่อม กลิ่นหอมมาก

2. Robusta: จากชุมพร รสเข้มข้น ฝาดนิดๆ

3. Kenya: นุ่ม หวาน

4. Nicaragua: อ่อน นุ่ม หวาน มีรสของโกโก้

5. Brazil: เข้มข้น มีรสถั่วนิดๆ

6. Guatemala: เข้มข้นเน้นๆ 

7. Ethiopia: มีความเข้ม แต่นุ่มนวล

Tips 1: ค่อยๆเติมน้ำร้อนช้าๆ สูดกลิ่นหอมๆ 

ค่อยๆให้น้ำร้อนผ่านกาแฟคั่วบดอย่างดี และดึงรสชาติมาได้อย่างเต็มที่

Tips 2: กากกาแฟ มีประโยชน์มากมาย อย่าทิ้งให้เสียเปล่า

เอาไปผสมดินปลูกต้นไม้ ผสมทำเทียนไข หรือเอามาขัดตัวพอกผิวได้ดีนักแล

ใครสนใจอยากลองดริปกาแฟเองง่ายๆ พกพาสะดวก พกไปที่ทำงาน

ไปเที่ยวต่างจังหวัด เข้าแคมป์เดินป่า ไปดริปที่ไหนก็ได้ง่ายๆ

สามารถสั่งหลายๆแบบรวมกันมาลองดูก่อนก็ได้ ว่าเราชอบรสแบบไหน

https://www.facebook.com/homedripcoffee